คอลัมน์ บอกเล่าข่าวเกษตร งาน “78 ปีเกษตรปทุม”
29 มีนาคม 2012
ขอเชิญร่วมงานสืบสานสงกรานต์ไทย
29 มีนาคม 2012“แผ่นดินไทยนั้นแสนร่มเย็นด้วยพระบารมีล้นเกล้าชาวไทย
แผ่นดินไทยนั้นแสนร่มเย็น ด้วยพระบารมีล้นเกล้าชาวไทย
ประโยชน์สุขสู่ปวงประชา เอ๊ย….ประโยชน์สุขสู่ปวงประชา 84 พรรษาสามัคคีร่วมใจ” (เพลงฉ่อย)
ท่ามกลางบรรยากาศอันครึกครื้นในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “84 พรรษา ประโยชน์สุขสู่ปวงประชา” ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมูลนิธิชัยพัฒนา สำนักราชเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) และสำนักงบประมาณ ร่วมกันจัดขึ้น โดยมีผู้ชมทั้งนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนหลั่งไหลเข้าชมและร่วมกิจกรรมภายในงานอย่างคับคั่ง
เยาวชนเสื้อสีเหลือง สกรีนด้วยข้อความ “84 พรรษา ประโยชน์สุขสู่ปวงประชา” ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ให้ความรู้ประจำนิทรรศการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส เขาเปิดบทสนทนากับดิฉันด้วยการขับร้องเพลงพื้นเมืองที่เรียกว่า เพลงฉ่อย ด้วยเนื้อหาอันไพเราะ ที่ร้อยเรียงเรื่องราวพระราชกรณียกิจ และพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อพสกนิกรชาวไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งถ่ายทอดให้สัมผัสได้อย่างเห็นภาพ โดยเฉพาะตอนหนึ่งที่ว่า”ทั้งตากฝนลุยโคลนน้ำท่วมหนัก แต่พระองค์ก็รักหนอก็คนไทย” จึงอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้อย่างชื่นชม
ภายหลังสิ้นเสียงขับขานเพลงพื้นบ้านเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านอย่างประทับใจแล้ว เยาวชนคนเก่งแนะนำตัวกับดิฉันอย่างเป็นกันเองว่าตนชื่อ นายนเรศ แสงอรุณ หรือ เอ็มนิสิตชั้นปีที่ 4 คณะเทคโนโลยีการเกษตรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีและในวันนี้ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในเยาวชนจากสถานศึกษาทั่วประเทศกว่า 40 คนในการทำหน้าที่มัคคุเทศก์ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ได้นำมาจัดแสดงภายในงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้ ซึ่งผู้สนใจนิทรรศการหรือข้อมูลเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเรื่องใด จุดใด ก็สามารถสอบถามรายละเอียดได้จากเยาวชนมัคคุเทศก์อาสาที่สวมเสื้อแบบเดียวกันได้อย่างเต็มที่
โดยมัคคุเทศก์เหล่านี้ ทุกคนได้ผ่านการฝึกอบรมการเป็นมัคคุเทศก์มาแล้วจากค่าย “เยาวชนรู้งานสืบสานพระราชดำริ” ทั้งรุ่นที่ 1/2554 และรุ่นที่2/2555 ที่จัดโดยสำนักงาน กปร.และผ่านการคัดเลือกให้เป็นเยาวชนดีเด่นจากโครงการที่จัดทำขึ้น โดยได้ศึกษาเรียนรู้จริงจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริและได้ไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเกษตรกรต้นแบบที่น้อมนำพระราชดำริมาปฏิบัติใช้จนประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ เป็นการเรียนรู้จากพื้นที่จริง การทำเกษตรกรรมของเกษตรจริงๆ และมีโอกาสในการลงมือปฏิบัติจริง จากนั้นก็นำความรู้ที่ได้เก็บเกี่ยวมาเขียนเป็นโครงการที่สามารถนำไปถ่ายทอดให้แก่ผู้คนในชุมชนอื่นให้สามารถนำไปใช้ปฏิบัติจริงได้
เอ็ม บอกเล่าความรู้สึกที่ได้มาร่วมงานเฉลิมพระเกียรติ “84 พรรษาประโยชน์สุขสู่ปวงประชา” ว่า ประทับใจและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ ทำหน้าที่แนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับแนวพระราชดำริข้อมูลต่างๆ ของทั้ง 6 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั่วประเทศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้จัดตั้งขึ้นมา ยังมาซึ่งประโยชน์ที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้รับ และที่ภาคภูมิใจเป็นที่สุดคือ การได้มีส่วนร่วมในการสานต่อแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน ได้มีโอกาสสืบสาน เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และพระราชดำริของพระองค์ท่าน ให้สาธารณชนได้รับรู้โดยทั่วกัน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ได้รับทราบและเรียนรู้หลักการทรงงานที่ทุกคนสามารถน้อมนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตต่อไปได้
“สิ่งที่ประทับใจ คือ การที่ผู้ชมงานเข้ามาสอบถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากเรา และเราได้ถ่ายทอดองค์ความรู้นั้นไปสู่เขาด้วยความเต็มใจ ที่สำคัญ คือการช่วยให้เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้เรียนรู้พระราชกรณียกิจ แนวพระราชดำริ พระอัจฉริยภาพ พระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา จวบจนทุกวันนี้ พระองค์ทรงทำอะไรเพื่อประชาชนชาวไทยบ้าง นอกจากนี้ก็จะแนะนำให้เข้าไปศึกษาเรียนรู้จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่กระจายอยู่ทั่วภูมิภาคของประเทศ ซึ่งประชาชนทุกคนสามารถเข้าไปศึกษาแนวพระราชดำริ หลักการทรงงานที่พระองค์ท่านทรงใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แก่ประชาชนได้ ในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเป็นการเพิ่มเติมได้อีกด้วย”
เมื่อได้พูดคุยถึงสิ่งที่จุดประกายให้เยาวชนคนนี้ เลือกที่จะเดินตามเส้นทางการสานต่อแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็พบว่าจุดเล็กๆ ที่เป็นประกายไฟในใจของเขาต่อการก้าวเดินมา ณ จุดนี้ ว่าเมื่อครั้งที่เป็นนักเรียนมัธยมต้น ในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสต่างๆ อาทิ วันที่ 12 สิงหาคม,วันที่ 5 ธันวาคม เขามักเบื่อกับการที่ต้องมายืนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเพลงสดุดีมหาราชา กลางสนามกับแดดอันร้อนจ้า แต่เมื่อถูกสั่งให้ร้องก็ร้องไปอย่างนั้น ไม่ได้รู้ซึ้งถึงความหมายและอรรถรสของเพลงเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่เขาต้องจำเสมอมา คือพ่อแม่จะสั่งสอนปลูกฝังให้ “รักในหลวงเพราะในหลวงมีพระคุณกับเรา”
“ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ที่โรงเรียนให้ทำ ให้ร้องเพลงกลางแดดร้อนๆ ไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่บอกมาตลอด รู้เพียงว่าต้องรักในหลวงในหลวงมีพระคุณ ก็รู้แค่นี้ และเห็นในหลวงตามทีวี ก็ได้แค่ดู แต่ไม่ได้รับรู้ไม่ได้ซึมซับว่าพระองค์ทรงทำอะไรไว้มากแค่ไหน แต่เมื่อเริ่มโตขึ้น เริ่มเรียนรู้ และเห็นถึงความแตกแยกในสังคมไทยซึ่งไปเกี่ยวโยงกับพระองค์ เกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า เป็นไปได้อย่างไร และเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ ในเมื่อที่ผ่านมาสิ่งที่เรารับรู้มาตลอดนั้น คือ พระองค์ทรงทำเพื่อคนไทยไม่ใช่หรือ ผมเริ่มสงสัยตอนนั้นอยู่ชั้น ม.6 เริ่มเข้าห้องสมุดศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ท่านเริ่มศึกษาพระราชกรณียกิจ แนวพระราชดำริ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ จึงเริ่มรู้ว่า พระองค์ทรงเหนื่อยเพื่อประชาชนชาวไทยมากจริงๆและไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใครๆ กล่าวหาสิ่งที่เรารัก เราเชื่อ และศรัทธาในพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”